การกระจายแสงของอัญมณี (Dispersion or Fire)

การกระจายแสงของอัญมณี หมายถึง การที่แสงสีขาวแตกออกเป็นสีรุ้ง ประมาณ 6 สี คือ เหลือง ส้ม แดง เขียว น้ำเงิน และ ม่วง เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุที่ีมีหน้าลาดเอียง 2 ด้าน วัตถุไม่มีสีในตัวของมันเองแต่ที่เกิดสีได้ ขึ้นอยู่กับสีของแสงที่จะส่งผ่านแล้วสะท้อนออกมาจากวัตถุนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า วัตถุจะมีสีของตัวเองได้เนื่องจากวัตถนันเลือกดูดเอาคลื่นแสงบางสีไว้ ส่วนคลื่นแสงสีที่เหลือจะกระทบตาของผู้ดู และจะรับเอาสีดังที่เห็นไว้ เช่น พลอยสีเขียวที่ปรากฎให้เห็นเป็นสีเขียว เพราะว่าโครงสร้างของอะตอมมิคภายในนั้นมีการดูดเอาคลื่นแสงสีอื่นๆ ไว้เกือบทั้งหมด ยกเว้นคลื่นแสงสีเขียว

เนื่องจากอัญมณีแต่ละชนิดดูดกลืนแสงและบดบังแสงได้ไม่เท่ากัน อัญมณีแต่ละชนิดจึงมีการกระจายแสง (Dispersion) ต่างๆกัน คือกระจายแสงสูง กระจายแสงปานกลาง กระจายแสงต่ำ ส่วนใหญ่การกระจายแสงจะเห็นได้ชัดเจนในอัญมณีสีใสไม่มีสี และอัญมณีสีอ่อนมากๆ บางจำพวกเช่น เพชร และ เพชรเลียนแบบ หรือเพทายสีฟ้า (Blue Zircon) เป็นต้น

ประเภทสีในแร่ธาตุแบ่งเป็น

  1. อิดิโอโครเมติค (Idiochromatic) หมายถึงสีของอัญมณีเกิดจากธาตุที่จำเป็นต่อโครงสร้างทางเคมีของอัญมณีชนิดนั้น อัญมณีชนิดนี้จะมีสีเดียว ตัวอย่างเช่น คริสวโซโคล่า (Chrysocola) มาลาไคท์ (Malachite) ไดออปไซด์ (Diopside) อะซูไรท์ (Azurite) เทอร์ควอยส์ (Turquoise) และ เพอริดอท (Peridot) เป็นต้น
  2. อัลโลโครเมติค (Allochromatic) หมายถึงสีของอัญมณีที่เกิดจากการแทรกซึมของธาตุที่ไม่จำเป็นต่อโครงสร้างทางเคมีของอัญมณีชนิดนั้นๆ ตัวอย่างพลอยชนิดนี้เช่น คอรันดัม (Corundum) ซึ่งถ้าอยู่ในสภาพที่ไม่มีมลทินจะไม่มีสี แต่ที่เป็นสีแดง เรียกว่า ทับทิม เพราะการแทรกซึมของธาตุโครเมียม (Chromium) หรือเป็นสีน้ำเิงินเรียกว่า ไพลิน ซึ่งเกิดจากการแทรกซึมของธาตุเหล็ก (Iron) และธาตุไทเทเนียม (Titanium) สีในอัญมณีประเภทนี้ อาจเกิดขึ้นจากตำหนิภายในตัวอัญมณีเอง (Inclusion) เช่นเกล็ดเล้กๆ ของแผ่นแร่ไมก้าสีเขียว (Fuchsite) ในควอทซ์

ธาตุที่มีความสำคัญมากต่อการให้สีแก่อัญมณีมีอยู่ 8 ชนิด คือ

  1. โครเมียม (Chromium) เป็นธาตุที่สามารถให้สีอัญมณีได้สวยงามมาก ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ ของธาตุโครเมียมที่แทรกเข้าไปในผลึก เช่น ทับทิม (Ruby) และสปิเนล (Spinel) เป็นสีแดง มรกต (Emerald) และ หยกเจไดท์ (Jadeite) เป็นสีเขียว
  2. เหล็ก (Iron)  เป็นธาตุสีที่ธรรมดาที่สุดในอัญมณี และมีมากที่สุดในอัญมณีธรรมชาติ โดยจะมีอยู่ในพลอยส่วนมากไม่ว่าน้อยหรือมากก็ตาม เช่ คริสโซเบอริล (Chrysoberyl) และ ซิทริน (Citrine) เป็นสีเหลือง ซัฟไฟร์ (Sapphire) ทัวมาลีน (Tourmaline) อะคัวมารีน (Aquamarine) สีฟ้าสปิเนล (Spinel) และ การ์เน็ท อัมมานไดท์ (Almandite Garnet) สีแดง เป็นต้น
  3. แมงกานิส (Manganese) เป็นธาตุที่สามารถพบได้ทั้งอัญมณีประเภท อิดิโอโครเมติก (idiochromatic) และประเภท อัลโลโครเมติค (Allochoromatic) เช่น โรโดโครไซท์ (Rhodocrosite) และโรโดไนท์ (Rhodonite) มอร์แกไนท์ (Morganite) และ คุนไซท์ (Kunzite) เป็นสีชมพู การณ์เน็ท สเปซซาไทท์ (Spessartite Garnet) สีส้ม
  4. ทองแดง (Copper) จะพบในอัญมณีประเภท อิดิโอโครเมติค (Ldiochromatic) เท่านั้น เช่น คริสโซโคลา (Chrysocolla) เทอร์ควอยซ์ (Turquoise) และอะซูไรท์ (Azurite) เป็นสีฟ้า มาลาไคท์ (Malachite) และไดออปไซด์ (Diopside) เป็นสีเขียว
  5. นิคเกิล (Nickel) โดยทั่วๆไปแล้วจะไม่ค่อยเกิดในอัญมณี มีน้อยชนิดมาก เช่น คริสโซเพรส (Chrysoprase) และ เพรสโอปอล (Prase Opal) เป็นสีเขียวส่วนใหญ่จะใช้ในการให้สีแก่พลอยสังเคราะห์ เช่น ซัฟไฟร์สังเคราะห์สีเหลืองเป็นต้น
  6. วานาเดียม (Vanadium) เป็นธาตุที่มีส่วนสำคัญน้อยต่อสีอัญมณีธรรมชาติ เช่น เบอริล (Beryl)  กรอสซูลาไรท์ (Grossularite) ซาโวไรท์ (Tsavorite) อเล็กซานไดรท์ คล้ายซัฟไฟร์สัง้คราะห์ (synthetic Alexandrite-like Sapphire) และ ซอยไซท์ (Zoisite) ทั้งหมดเป็นสีเขียว 
  7. ไทเทเนียม (Titanium) เป็นธาตุที่จะเกิดรวมกับธาตุเหล็ก (Iron) ในบางครั้ง เช่นซัฟไฟร์ (Sapphire) และเบนิทอยท์ (Benitoite) เป็นสีน้ำเงิน
  8. โคบอลท์ (Cobalt) เป็นธาตุที่พบในธรรมชาติได้น้อยมาก แต่นิยมใช้ให้สีในพลอยสัเคราะห์ และพลอยเลียนแบบ เช่น สปิเนลสังเคราะห์ (Synthetic Spinel) แก้ว (Glass) ควอทซ์น้ำเงินสังเคราะห์ (Synthetic Blue Quartz) ทั้งหมดเป็นสีน้ำเงิน ในพลอยธรรมชาติอาจพบในสปิเนล (Spinel) แถบประเทศศรีลังกา เป็นพลอยสีน้ำเงินซึ่งหายากมาก แต่พลอยชนิดนี้จะมีธาตุเหล็กปนอยู่